นโยบายไร้การควบคุมของกลุ่มทุนส่วนบุคคล (Private Equity) อาจสร้างผลกระทบระดับ ‘หายนะ’ ต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ รับมือสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? คลิกอ่านเลย!

ผลกระทบร้ายแรง หากนโยบายให้สิทธิเสรีแก่กลุ่ม Private Equity ถูกใช้อย่างไม่ถูกต้อง

[Collection]

ผลกระทบร้ายแรง หากนโยบายให้สิทธิเสรีแก่กลุ่ม Private Equity ถูกใช้อย่างไม่ถูกต้อง

ในโลกธุรกิจและการเมืองของสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ เมื่อ Lina Khan นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เตือนถึงผลกระทบระดับ ‘หายนะ’ หากนโยบายให้สิทธิเสรีแก่กลุ่มลงทุนส่วนบุคคล (Private Equity) ของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ถูกผลักดันแบบไม่มีการควบคุม ความเสี่ยงต่อการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการคอร์รัปชันทางการเมืองเป็นสิ่งที่ต้องจับตา ค่าใช้จ่ายจากผลกระทบดังกล่าวจะตกอยู่กับใคร และเรามีบทเรียนใดที่จะหยุดยั้งสถานการณ์นี้?

ความเจ็บปวดของเศรษฐกิจจากการควบคุมที่ไร้ขอบเขต

Lina Khan ผู้จัดการด้านการต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐฯ และนักยุทธศาสตร์ในวงการเศรษฐกิจ ได้กล่าวในการปราศรัยล่าสุดว่า การให้สิทธิเสรีอย่างไม่มีกติกาแก่ Private Equity อาจกระตุ้นให้เกิด ‘มหันตภัย’ ทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ เธอย้ำว่ากลุ่มทุนขนาดใหญ่เหล่านี้มักมีกำลังทางการเงินและอิทธิพลในการสร้างการผูกขาดในตลาดต่างๆ ทำให้ธุรกิจเล็กๆ ถูกผลักออกจากตลาด หรือแย่กว่านั้น คือการผลักดันราคาสินค้าและบริการให้อยู่ในระดับที่ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระหนักขึ้น

Private Equity กับการผูกขาด

Private Equity หรือกลุ่มทุนเอกชนคืออะไร? เป็นคำถามหลักที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจ Private Equity หมายถึงกลุ่มลงทุนที่เข้าไปซื้อกิจการและทำให้ธุรกิจนั้นๆ กลายเป็นของส่วนตัว โดยในกรณีที่ไม่มีการควบคุมที่ชัดเจน กลุ่มทุนเหล่านี้สามารถสะสมกำลังการผลิตหรือขยายตัวจนสร้างการผูกขาดที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศได้

ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มีหลายกรณีที่กลุ่ม Private Equity เข้าไปครอบครองธุรกิจขนาดเล็กหลายราย และผลที่ตามมาก็คือการสูญเสียงานของคนจำนวนมหาศาล รวมถึงการควบคุมราคาที่ทำให้การแข่งขันในตลาดหายไป

ผลพวงต่อการเมืองและการตัดสินใจนโยบาย

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ Lina Khan ยังเตือนถึงผลกระทบที่น่าเป็นห่วงในมิติทางการเมืองอีกด้วย กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลมักมองเห็นโอกาสในการ “หนุนหลัง” นักการเมืองหรือสร้างเครือข่ายที่คลอบคลุมสภานิติบัญญัติระดับสูง ๆ ในประเทศ ที่น่าเป็นห่วงคือ ความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ที่ไม่สมดุลระหว่างกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและนักการเมืองอาจนำไปสู่การละเมิดกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย และการสร้างเงื่อนไขทางการเมืองที่กดดันประชาชนส่วนใหญ่แทนที่จะให้ประโยชน์

ประธานาธิบดี Joe Biden กับวิสัยทัศน์เรื่องการผูกขาดในตลาด

สำหรับการบริหารของประธานาธิบดี Joe Biden ที่มี Lina Khan เป็นผู้นำด้านยุทธศาสตร์การต่อต้านการผูกขาด มีการเตรียมร่างนโยบายหลายฉบับเพื่อจำกัดผลกระทบจากการกระจุกตัวของชนกลุ่มหนึ่ง เช่น การพยายามจัดการกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และการตั้งสนธิสัญญาที่จะปกป้องผู้บริโภคจากการควบรวมกิจการแบบไม่ยุติธรรม

ความโปร่งใสในการจัดการ

หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ Lina Khan มองว่าอาจช่วยลดผลกระทบจาก Private Equity คือการบังคับให้กลุ่มทุนเหล่านี้แสดงข้อมูลทางการเงินหรือแบบแผนการบริหารธุรกิจต่อสาธารณะ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิทางเศรษฐกิจไม่ได้ถูกควบคุมไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเพียงเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นใหญ่

สรุป

โลกของการลงทุนและการเมืองไม่สามารถดำเนินไปโดยไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม แนวคิดหรือการปฏิบัติที่มองเฉพาะผลระยะสั้นอาจนำไปสู่ผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อระบบโดยรวม ไม่ว่าจะในด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง ลำดับต่อไปคือการจับตาดูว่านโยบายของรัฐบาลปัจจุบันจะมีผลต่ออนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไร

อย่าปล่อยให้ข้อมูลเหล่านี้ผ่านไป! หากคุณอยากเห็นบทความแบบนี้อีก โปรดกดติดตามเพจหรือแชร์ข้อมูลนี้เพื่อกระตุ้นการรับรู้ในสังคมของเรา

นโยบายไร้การควบคุมของกลุ่มทุนส่วนบุคคล (Private Equity) อาจสร้างผลกระทบระดับ ‘หายนะ’ ต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ รับมือสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? คลิกอ่านเลย!